เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ม.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม สัตว์มันใช้สัญชาตญาณของมัน สัญชาตญาณของมัน มันเป็นเดรัจฉาน คำว่า “เป็นเดรัจฉาน” เป็นอบายภูมิไง

 

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศานา เวลาพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ถ้าเป็นอุบาสก อุบาสิกา อุบาสกต้องมีศีล ๘ อุบาสิกาก็ต้องมีศีล ๘ มหาอุบาสิกาคือนางวิสาขา

 

เราเป็นชาวพุทธๆ ไง ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราจะเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา เราต้องมีศีล คำว่า “มีศีลของเรา” ศีลของเราคือการจำกัด เห็นไหม มันมีรั้วกั้น ถ้ารั้วกั้นขึ้นมาแล้ว เรากำจัดพวกขโมยโจรจากภายนอกเข้ามาในบ้านของเรา แต่เวลาเราจะถือศีลๆ เราวิตกกังวลกันว่าเราทำสิ่งใดไม่ได้เลยนะ

 

การที่เรามีรั้วกั้นไว้ เรากั้นไอ้พวกพิษพวกภัย พวกสิ่งเลวร้ายไม่ให้เข้ามาในบ้านของเรา แต่ถ้าเวลาเราถือศีลๆ ขึ้นมา มันก็เลยล้อมรั้วจนปิดหน้าบ้านหมดเลย เวลาจะเข้าจะออก เข้าออกลำบากไปหมดเลย เข้าออกลำบากไปหมด เข้าออกไม่ได้ เห็นไหม

 

ศีลเขาเอาไว้ป้องกันความชั่วร้าย ป้องกันความทุกข์ความยาก เขาไม่ได้ป้องกันความสุขหรอก ความสุขมันสุขในบ้านของเรา ในบ้านอบอุ่น เรากลับบ้านกลับเรือนของเรา ถ้าบ้านที่อบอุ่นใครๆ ก็อยากกลับบ้านของเรา

 

ในบ้านของเรามีแต่พิษร้าย มีแต่สัตว์ร้าย มีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลงในบ้าน มีแต่ความขัดแย้งในบ้านของเรา ในบ้านของเรา ใครก็ไม่อยากเข้าบ้านของเราหรอก ทำงานเสร็จแล้วก็ไม่อยากกลับบ้านเลย เร่ร่อนไปทั่ว ไม่อยากกลับบ้าน

 

สิ่งนี้ถ้าเราจะกลับบ้านเรานะ เรามีศีลมีธรรมของเรา ถ้าศีลธรรมมันกางกั้นความชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาในหัวใจของเรา ไม่ให้เข้ามาในบ้านของเรา บ้านของเรานะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มนุษย์มีกายกับใจๆ ร่างกายนี้ เราต้องหาอยู่หากินเพื่อร่างกายนี้ แต่จิตใจของเราต้องการศีลต้องการธรรม ต้องการศีลต้องการธรรมเพื่อควาสุขความสงบในหัวใจของเรา

 

แต่คนเกิดมามีอำนาจวาสนานะ คำว่า “มีอำนาจวาสนา” จริตนิสัยของคน แต่ถ้าเป็นคนดีๆ คนดีคิดแต่เรื่องดีๆ ไม่ทำเรื่องเลวทราม แต่คนชั่วร้าย คนชั่วร้ายก็คิดแต่เรื่องชั่วร้าย คิดแต่เอารัดเอาเปรียบของเขา แต่ถ้ามีศีล มีศีลมากั้นตรงนี้ไง มากางมากั้น มาพัฒนาตัวของเราไง พัฒนาตัวของเราเพราะเหตุใด

 

การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แต่คนเกิดมาๆ เกิดมาแล้วไม่อยากอยู่ เกิดมาแล้วมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ เขาเกิดมาให้สร้างคุณงามความดี เห็นไหม เวลาคนเกิดมาว่ามีกรรมๆ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันนะ แต่คนที่มีกรรม กรรมดี กรรมชั่ว คนที่ทำเวรทำกรรมไว้ ทำสิ่งใดแล้วขาดตกบกพร่องไป เราก็มาสร้างบุญกุศล สร้างของเรา จะทุกข์ดีมีจนขนาดไหน เราก็มีชีวิตเหมือนกัน จะยากดีมีจน เราก็มีร่างกาย มีจิตใจเหมือนกัน

 

แต่มีร่างกายและจิตใจเหมือนกัน เวลาคนที่ยิ่งใหญ่ หลวงตามหาบัวเป็นคนจนที่ยิ่งใหญ่ คนจนที่ยิ่งใหญ่มีบริขาร ๘ เท่านั้น แต่สามารถกู้ชาติได้ ช่วยชาติได้ ช่วยประชาชนที่มีความทุกข์ความยากในหัวใจที่มีความวิตกกังวล ที่ว่าอนาคตมันจะมืดมน ให้เขามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา นั่นน่ะคนจนผู้ยิ่งใหญ่ คนรวยที่ไม่ช่วยเหลือใครเลย คนที่มั่งมีศรีสุขแล้วไม่เห็นหัวของคนเลย คนอย่างนั้นก็ไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น เห็นไหม

 

ถ้ามันจะเป็นคุณงามความดี ความดีในหัวใจนี้ไง ถ้าหัวใจนี้มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากการฝึกหัดของเรานี่ไง มาจากการเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา คนเราไม่ใช่ดีเพราะการเกิด คนเราจะดีเพราะการกระทำนะ

 

เกิด เกิดเหมือนกัน เกิดจากท้องพ่อท้องแม่เหมือนกัน แต่เกิดมาแล้วทำคุณงามความดีมากน้อยแค่ไหน จะทำความสงบร่มเย็นในบ้านเรือนเราแค่ไหน เราทำสิ่งใดเพื่อชาติเพื่อตระกูลของเรา เพื่อชาติเพื่อตระกูลของเรา เพื่อสังคมของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา ประโยชน์นั้นสร้างคุณงามความดี พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เขาทำกันอย่างนั้น

 

องค์สมเด็จพระสัมมสัมพุทธเจ้าเกิดมาจากไหน เกิดจากบุญกุศลการทำคุณงามความดีมาทั้งนั้น การทำคุณงามความดี ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ความดีเป็นเครื่องดำเนิน ความดีเป็นช่องทางที่พัฒนาเรา การพัฒนาหัวใจของเราให้มันเกิดประโยชน์ขึ้นมานะ มันมีแต่ความดีเท่านั้นที่ทำให้เราพัฒนาดีขึ้นไง

 

ความชั่วร้ายไม่ทำให้เราพัฒนาขึ้น ทำให้เราเลวลงทั้งนั้นน่ะ คำว่า “เลวลง” มันเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันต่ำทรามไง มนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต มนุษย์เปรต มนุษย์เดรัจฉาน มนุสเทโว มนุษย์เทวดา มนุษย์เป็นได้ทุกอย่างเลย

 

หลวงปู่มั่นท่านบอกจิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก ดูสิ ร่างกายเราคิดอะไรก็ได้ เราทำสิ่งใดก็ได้ มันเสวยอารมณ์มันก็เป็นอย่างนั้นๆ แล้วเราพอใจความเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ถ้าเราไม่พอใจความเป็นอย่างนั้น

 

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องคุณธรรมของเรา เรื่องความดีของเรานะ เวลาพระพุทธศาสนาสอน สอนค้นคว้าเข้ามาในหัวใจ ศีล รั้วกั้นไว้ เรามีรั้วกั้นของเราไว้ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไง ถ้ามีศีล ๕ ศีล ๕ ก็เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเรา ถ้าเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ถ้าความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี พระพุทธศาสนามันมีคุณงามความดีมหาศาลให้เราหยิบฉวยเอา อยู่ที่เราจะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน

 

ถ้าความสามารถของเรา เรามีความสามารถอ่อนด้อย เราก็ได้แค่นั้นน่ะ ดูสิ คนไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ไม่เชื่อเรื่องคุณงามความดี ไม่เชื่อสิ่งใดเลย เกิดมาชาตินี้เราเสวยแต่ความสุขๆ เพราะเราเกิดมาชาติเดียวไง ชาติเดียวก็จบไง แล้วเกิดมา กรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมเก่าของเขา เขามีโอกาสทำอย่างนั้นได้ แต่ทำไปแล้วไม่มีความสุขหรอก

 

กุศล อกุศล กุศลๆ ทำคุณงามความดีด้วยความสุจริตใช่ไหม จะชื่นบาน อยู่ที่ไหนก็ได้ความสบายใจใช่ไหม อกุศลทำแล้วต้องปกปิดไว้ ต้องนั่งทับไว้ มันจะไปเอาความสุขมาจากไหน ไม่มีหรอก น่าชื่นอกตรม แต่ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เราทำของเรา ถ้าด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา ด้วยหัวใจของเรา

 

อุบาสก อุบาสกมันต้องมีศีล ศีล ๘ ขึ้นไปถึงเป็นอุบาสก นอกจากนั้นก็เป็นชาวพุทธ ชาวพุทธที่เร่ร่อน ชาวพุทธที่ไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสาร ถ้ามีสิ่งใดเป็นแก่นสาร เวลาเห็นคนอื่นทำคุณงามความดี เห็นเป็นความดีกัน เราก็อยากมีอยากเป็นกับเขา แต่มันไม่มีแก่นสาร ไม่มีการกระทำของเราขึ้นมาไง

 

ถ้ามีการกระทำขึ้นมา มาบวชเป็นพระๆ บวชเป็นพระขึ้นมาคิดว่าบวชมาเพื่อความสุขไง บวชมาต้องเร่งความเพียร บวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะเอาความสุขมาจากไหน งาน คนทำงาน งานทางโลกอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาเพื่อความมั่นคงของชีวิตของเรา บวชเป็นพระๆ พระถ้าไม่มีศีลไม่มีธรรม มันเอาอะไรเป็นสมบัติ

 

บวชเป็นพระก็มีบริขาร ๘ มีศีล ๒๒๗ เป็นสมบัติของเรา ถ้าเป็นสมบัติของเรานะ เราเร่งความเพียรของเรา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเท่าไหน วันเวลาที่มันล่วงไปๆ นั่นน่ะ สิ่งนั้นมันเป็นกิริยาเท่านั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นความจริงๆ มันตกค้างในหัวใจ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ความสงบอันนั้นเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เวลาจิตมันสงบเข้ามา ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันมีพุทธะในกลางหัวใจไง

 

เวลาเราเป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง มีแก้วสารพัดนึก เวลาจะนึก นึกเอาอะไร นึกเอาความสุขเอาสบาย เอาลาภเอาสักการะต่างๆ ถ้านึกเอามรรคเอาผล ถ้านึกขึ้นมา นึกพุทโธๆ ขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เราเป็นของเราเอง มันเป็นพุทโธในหัวใจของเราเอง ถ้ามันเป็นขึ้นมา นี่มันเป็นปัจจุบัน ถ้ามันเป็นขึ้นมา

 

แล้วถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาๆ เวลาเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนามันมหัศจรรย์นะ มนุษย์คนหนึ่งทำได้ขนาดนั้นนะ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เวลาเราเร่งความเพียร เราภาวนากัน เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา นั่นน่ะทุกข์ยากเพราะอะไร ทุกข์ยากเพราะกิเลส มันอยากสะดวก อยากสบาย อยากจะชุบมือเปิบ อยากได้โดยที่ไม่มีเหตุมีผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ามันไม่มีเหตุไม่มีผล เอามาจากไหน นึกเอา จินตนาการเอา มันก็ได้ชั่วคราวไง พอได้ชั่วคราวขึ้นมา เดี๋ยวกิเลสมันตีกลับไง เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมาเพราะกิเลสมันแผดเผาทั้งนั้นน่ะ

 

ธรรมะไม่เคยแผดเผาใคร เราเป็นผู้ให้ เราให้แล้วมันเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ มันเป็นประโยชน์กับผู้รับ ผู้รับเขาได้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวันของเขา เราได้ความชื่นใจ เราได้ความชื่นใจ เราได้ความสุข เราได้ช่วยเหลือเจือจาน เรามีน้ำใจกับเขา เรามีความสุข

 

นี่ไง ธรรมะมันให้โทษกับใคร มันไม่ให้หรอก ให้แต่คุณประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ กิเลสเท่านั้นน่ะที่มันบีบบี้สีไฟ ของเราถืออยู่แล้ว โอ๋ย! คนนั้นคนทุกข์คนยาก เราเองเราก็ทุกข์ก็ยาก เราให้ใครไม่ได้ เก็บไว้จนเน่าจนเสียหมด คนนั้นเขาก็ไม่ได้ เราก็ไม่ได้ ไม่มีใครได้ประโยชน์เลย มีแต่ความเศร้าหมอง นี่กิเลสเท่านั้น กิเลสเท่านั้นที่มันทำลายทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกของเราก็มาตระหนี่ถี่เหนียวขึ้นมา ทำให้เราไม่มีโอกาส ภายใน ภายในมันเผาลนในใจเราทั้งนั้นน่ะ

 

อุบาสก ถ้าอุบาสก อุบาสิกา เราจะเป็นอุบาสก อุบาสิกา เราต้องมีสติมีปัญญาของเราขึ้นมา ยกสถานะในใจของเราขึ้นมา ยกสถานะ เห็นไหม ถ้ามันสถานะ สถานะที่ไหน นี่ไง เพราะอะไร มันแจ่มแจ้งในศีลไง ถ้าในศีลในธรรมมันแจ่มแจ้งของมันนะ ศีล ๕ ข้อบังคับ ๕ อย่าง กฎหมาย ๕ ข้อ เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย จะถือศีลขึ้นมาเดือดร้อนไปหมด เวลาศีล ๘ เราเดือดร้อนไปหมด

 

ศีลก็คือศีลไง แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจะทำอย่างนั้นไหม ถ้ามันพลาดพลั้งไป การพลาดพลั้งนั้น เราก็มาเริ่มต้นของเราใหม่ เราไม่วิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น คนเราไม่เคยทำผิดเลย ไม่มี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติ ๖ ปี สมบุกสมบันมา ๖ ปี ไปศึกษากับเขามาทั่ว สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่ทางทั้งนั้นน่ะ ทิ้งหมดเลย เวลามาค้นคว้า ค้นคว้าในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความสามารถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง สิ่งที่เราทำ เราทำเดี๋ยวนี้ นี่ไง ศาสนาพุทธ

 

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นความจริง มันก็เกิดจากในหัวใจของเราเอง ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ เป็นศาสดา เป็นตัวอย่าง เป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นเอก เอกบุรุษที่มารื้อสัตว์ขนสัตว์พวกเรา

 

สิ่งที่เราศึกษามา ศึกษานั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาตินั่นน่ะ แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงของเรา สติก็เป็นสติของเรา สมาธิก็เป็นสมาธิของเรา แล้วสมาธิของเรา เรามีความสุขของเรา มันต้องมีความสุขสิ ไอ้ที่ว่าปฏิบัติเลื่อนลอย เพ้อเจ้อ ความเพ้อเจ้ออย่างนั้นเขาเรียกว่าปฏิบัติพอเป็นพิธี

 

หลวงตาท่านพูดประจำ ปฏิบัติพอเป็นพิธี ปฏิบัติพอเป็นพิธี เห็นว่าเป็นภาคปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ให้ชาวพุทธปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด เราก็ปฏิบัติบูชากันพอเป็นพิธี ทำกันให้สมบูรณ์เป็นรูปแบบเท่านั้นน่ะ แต่ความจริงมันไม่มีขึ้นมาไง

 

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา รูปแบบก็คือรูปแบบ แล้วไม่ติดสิ่งใดเลย มันมีเวลาว่างที่ไหน ทำได้ที่นั่น ลมหายใจอยู่กับเรา ฝ่าเท้าอยู่กับเรา จะเดินจงกรมที่ไหนก็ได้ นั่งสมาธิภาวนาที่ไหนก็ได้ ความดีทำที่ไหนก็ได้

 

แล้วครูบาอาจารย์ของเราจะทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีลับหลังด้วย ลับหลังเพราะเป็นสมบัติของเราไง มันเป็นประจักษ์พยานของเราไง เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกไง ไม่มีช่อง ไม่มีร่องมีรอยที่ให้กิเลสมันเข้ามาพลิกแพลงได้ ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างนั้น แล้วเป็นจริงแล้วมันภูมิใจในตัวมันเองไง แล้วผู้ที่เป็นจริง รวงข้าว รวงข้าวที่มันเต็มรวงของมัน เวลามันแก่ของมัน มันน้อมลง เห็นไหม จิตใจที่เป็นธรรมๆ เขาไม่มีความอหังการใดๆ ทั้งสิ้น เวลามันเย้ย มันเย้ยกิเลสนะ

 

เวลาเขาอวดอ้างกัน เขาเหยียบย่ำกันนั่น นั่นน่ะกิเลสทั้งนั้น เห็นแล้วมันเศร้า แต่ธรรมะไม่เป็นอย่างนั้น ธรรมะมันมีแต่เมตตา มันมีแต่ความน่าสังเวช ธรรมสังเวชไง มันสังเวชถึงว่ากิเลสมันเหยียบย่ำกัน กิเลสมันทำลายกัน มันยังสำคัญตนว่ามันเป็นธรรมอยู่นะน่ะ นี่มันสังเวช มันสลด มันสลดแล้ว เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เราจะแอคชั่นอย่างนั้นไม่ได้ นั่นมันบ้าบอคอแตก

 

ธรรมะขององค์ศมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในป่าในเขา หลวงปู่มั่นท่านอยู่ที่หนองผือ ใครจะทำบุญต้องซื้อทางเข้าไปนะ ใครจะไปแสวงหาความจริงต้องซื้อถนนหนทาง ไม่มีความสะดวกสบายปูด้วยพรมเข้าไปหา ไม่มี เพราะปูด้วยพรมนั่นกิเลสทั้งนั้นน่ะ นี่ไง ถ้ามันมาอย่างนั้นมันก็มาด้วยทิฏฐิมานะ มาด้วยความอหังการ มันจะฟังอะไร

 

แต่เวลาคนทุกข์คนยาก ดูสิ เวลาคนทุกข์คนยาก คนเป็นมะเร็งขั้นที่ ๔ ไปโรงพยาบาล เมื่อไหร่จะหาย เมื่อไหร่จะหาย นี่ก็เหมือนกัน ในใจของเราถ้ามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราต้องการคนชี้นำๆ แล้วต้องการคนชี้นำแล้วกว่าจะชี้นำ เรารู้ไหมว่าอะไรเป็นธรรม อะไรเป็นกิเลสไง

 

ถ้าสิ่งที่เป็นธรรมๆ เป็นธรรมเป็นสิ่งที่ดีงามที่ทุกคนต้องการแสวงหา เวลาเป็นกิเลส กิเลสในใจของเราไม่ต้องการแสวงหา มันขับดันออกมาในใจ มันมีแต่ความขับดันออกมา ทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ มันเป็นอย่างนั้นเพราะมันเป็นอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ เพราะความไม่รู้ ถึงได้มาเกิด เวลาเกิดขึ้นมา สิ่งที่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ของเราไม่รู้เรื่อง ของเราไม่รู้เรื่อง ท่องจำเขามา เห็นกิริยานั้นมาแล้วก็ทำตามนั้น รูปแบบไง ทำมีรูปแบบไง แต่ความจริงไม่มีไง

 

ถ้าเป็นความจริงๆ เราต้องการความจริงอย่างนั้น ความจริงอย่างนั้นนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นอาจารย์ของเรา เป็นเป้าหมายของเรา แล้วมันเป็นจริงในใจเราไหม ถ้ามันเป็นจริงในใจของเรา ศาสนานี้มั่นคงมาก ไม่ต้องให้ใครมาปกป้องดูแลหรอก ทุกคนคุ้มครองดูแลเอง ทุกคนคุ้มครองดูแลในใจของเราเอง ศาสนาเป็นศาสนาที่มั่นคง ถ้าเป็นศาสนาประจำหัวใจของชาวพุทธ มันจะมีอะไรต้องไปคุ้มครองดูแล

 

ไอ้นี่ มึงหนึบกูหนับอยู่นั่นน่ะ คุ้มครองดูแล ดูแลอะไร มีอำนาจวาสนาแค่ไหน ใครจะมีปัญญาเกินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ศาสนารุ่งเรื่องที่สุดคือสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันก็โรยรามาเรื่อยนั่นล่ะ ความโรยรามันโรยราโดยความไม่เอาไหนของชาวพุทธ ความไม่เอาไหนของเราไง แล้วบอกว่าอุบาสก อุบาสิกา

 

อุบาสก อุบาสิกาทำอะไร ชาวพุทธๆ เขาก็รักษา เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงสารหัวใจของตน สงสารตัวเรานี่แหละ หน้าที่การงานเราก็ทำของเรานะ คนเกิดมามีปากและท้อง คนเกิดมามีชีวิต สิ่งมีชีวิตต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย สิ่งที่อาศัยดำรงชีวิตไว้ทำไม ดำรงชีวิตไว้ว่า ถ้าเราไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ต้องสร้างอำนาจวาสนาบารมีให้มากขึ้น ให้จริตนิสัยของเรามันค้นคว้าเข้ามาหาใจของตน หาใจของตน พัฒนาใจของตนให้มั่นคงขึ้น ให้มีอำนาจวาสนาขึ้น

 

พระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดนะ เราเป็นคนอำนาจวาสนาน้อยเพราะอายุแค่ ๘๐ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อน ๘๐,๐๐๐ ปี คำว่า “๘๐,๐๐๐ ปี” เพราะ ๑๖ อสงไขย นี่สร้างมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มันแตกต่างกัน มันแตกต่างกันอย่างนั้น

 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะพัฒนาหัวใจของเรา เรามาทำคุณงามความดีของเราที่นี่ ไม่อะไรสูญเปล่าหรอก ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำสิ่งใดอย่างนั้น เจตนามันเป็นคนทำ มันมีต้นเหตุ ต้นเหตุนี้เป็นคนรับ ต้นเหตุในใจเรา ทำชั่วมันก็เข้าสู่ใจนั้นน่ะ เราจะปฏิเสธอย่างไรก็แล้วแต่ กรรมไม่มีที่ลับที่แจ้ง เราเป็นคนทำๆ ทำด้วยความพลั้งเผลอ ทำด้วยความไม่รู้ ทำด้วยความเขายุแหย่ ทำด้วยความเขาชักจูง นั่นกรรมทั้งนั้น แต่ถ้าทำคุณงามความดี ครูบาอาจารย์ที่ดีๆ สายบุญสายกรรมที่ดีท่านชักนำมา

 

“ทำมาแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย ทำแล้วก็สูญเปล่า”...มันทำลงที่ใจไง ทิพย์สมบัติๆ ไง เวลาคนทำคุณงามความดีมาก จิตตคหบดีเวลาตาย เทวดาเอารถสวรรค์มารับเลย นี่พอมันสมบูรณ์ของมันนะ แต่พวกเรามันไม่เต็มไง มันครึ่งๆ กลางๆ ไง

 

ทิพย์สมบัติๆ คือว่าความเป็นจริงในใจของเรานี่ สิ่งที่ทำขึ้นไปแล้วมันฝังลงที่ใจทั้งนั้นน่ะ ใจเรารับรู้ทั้งนั้นน่ะ ใจเราเป็นคนกระทำ ใจเรานี่ แล้วเวลากรรมมันให้ผล ไม่รู้เรื่อง แล้วสิ่งใด ดูสิ เวลาคนไปเจอสิ่งใดในโลก เอ๊อะ! เหมือนกับที่เห็นมา เหมือนที่เราได้สัมผัสมา เหมือน เหมือนไง นี่มันมีของมันนะ แต่เรารู้ไม่ได้ เรารู้ไม่ได้เพราะว่าความมืดบอดไง

 

นี่พูดถึงว่า ถ้าเราจะไปเป็นอุบาสก อุบาสิกา เรามีศีลมีธรรมของเราเพื่อพัฒนาหัวใจของเรา แล้วจะเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา

 

ไอ้นี่พระพุทธศาสนาไว้บนหิ้ง ไอ้เราก็หาบทุกข์กันไว้ แล้วก็ว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว แล้วศาสนาก็เอาไว้บนนู้นน่ะ เพราะเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ เราไม่ได้ทำให้เป็นจริงขึ้นมา อาหาร ถ้าใครไม่ได้กินก็ไม่ได้กิน อาหาร ใครตักใส่ปากคนนั้นก็ได้กิน นี่ก็เหมือนกัน เราทำของเราก็ได้ของเราไง

 

เกิดเป็นชาวพุทธแล้วไม่ต้องทำอะไรเลย ตีตราเป็นพุทธไปเลยหรือ พุทธก็พุทธทะเบียนบ้านไง แต่ถ้าพุทธความจริง พุทธต้องขวนขวาย พุทธต้องดูแลหัวใจของตน พัฒนาของตน สุขภาพกาย สุขภาพจิตให้พัฒนาขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเราตามความเป็นจริง เอวัง